วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ตอนที่ 10 - “เด็กเอาแต่ใจ” // อาเสือ // 100%





ตอนที่ 10 “เด็กเอาแต่ใจ” // อาเสือ // 



            เคยเห็นเด็กดื้อนอนซมบนเตียง แล้วยังอยากจะอาละวาดไหมครับ กาวเป็นแบบนั้นแหละ ผมเห็นแล้วอยากจะขำ แต่ต้องอดกลั้นไว้ ไม่งั้นเจ้าตัวจะเพิ่มดีกรีความงี่เง่าอีกเป็นเท่าตัว เมื่อวานไปหาหมอแต่ไม่ดีขึ้นเลย วันนี้สงสัยจะได้ไปซ้ำอีกครั้ง

            เด็กดื้อคนนี้เป็นคนที่ผมรู้จักดีที่สุด กาว กรินทร์ สุขวรนันต์ หลานแท้ ๆ ของม่าน ที่ผมรับมาอยู่ด้วย ด้วยความเต็มใจ ตั้งแต่เกือบ 10 ปีก่อน ตอนเด็ก ๆ ว่าดื้อและซนแล้วโตมายิ่งน่าตีกว่าตอนเด็กมาก เพราะม่านมักจะตามใจหลานทุกอย่าง ที่หลานอยากได้ ไม่เคยขัดใจ และไม่เคยให้หลานรับรู้ในสถานการณ์บ้านของตัวเองมาก่อน

            ตอนกาวอายุได้ ประมาณ 7 ขวบ บ้านที่เคยอยู่...มีทั้งพ่อ แม่ และยาย แต่ทุกคนเสียชีวิตไปหมดแล้ว จากเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ ตำรวจสันนิษฐานว่าหม้อแปลงไฟระเบิด และทำให้ไฟฟ้าเกิดลัดวงจร ยายซึ่งแก่มากแล้ว อยู่ชั้น 3 ของบ้าน ตอนเกิดเหตุไฟลุกท่วมโหมกระหน่ำ แต่ยายยังออกมาไม่ได้ พ่อของกาวและคนงานกลับเข้าไปด้านในอีกครั้งเพื่อไปช่วย แต่ว่าเกิดเหตุผิดพลาดอย่างไรไม่ทราบ ออกมาไม่ได้เสียชีวิตภายในกองเพลิงทั้งหมด ส่วนแม่ช็อคไปพร้อม ๆ กับกาว ซึ่งตอนนั้นก็ยังเด็กมากแต่ก็รู้เรื่องทั้งหมด แม่เสียชีวิตเพราะเป็นโรคหัวใจอยู่ก่อน ส่วนกาวต้องใช้เวลาหลายอาทิตย์ กว่าจะทำให้ตั้งสติและรับรู้สถานการณ์ต่อตัวเองได้อีกครั้ง

            บ้านหลังนั้นม่านไม่เคยพาหลานกลับไปอีกเลย กาวถึงได้โตมากับบ้านสวน แม่ของม่าน ซึ่งก็คือยายอีกคนของกาว กาวเรียกว่ายายเล็ก เป็นภรรยาน้อยของคุณตา ตอนยายเล็กอยู่ก็พอจะมีคนควบคุมหลานได้บ้าง คือพอมีคนทำให้กาวกลัว ไม่กล้าซน แต่พอยายเล็กเสีย เด็กชายกรินทร์ ก็เริ่มจะนอกกรอบไปเรื่อย ๆ 

            “รอบ ๆ ตัวกาว มีแต่คนจากไป”กาวเคยพูดกับผม ครั้งหนึ่งตอนไปที่บ้านสวน

            “แต่อาจะอยู่กับกาว”ผมบอก ขนตายาวเป็นแพ ชุ่มไปด้วยน้ำตา

            “กลัว....”กาวบอกสั้น ๆ ผมกอดคนตัวเล็กไว้แนบอก รู้ดีว่าภายใต้ท่าทางที่เข้มแข็งนั้น อ่อนแอและบอบบางมากเพียงไร 

            สถานการณ์มันเลวร้ายลง ตอนม่านจากไป...คราวนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการฆาตรกรรม เด็กดื้อช็อคไปอีกหน สายตาเราตอนปะทะกันวันที่ผมจับศพม่านขึ้นมา ก่อนที่วินัยจะลากกาวออกไป เด็กน้อยกรีดร้องดังจนน่ากลัว ปากเฝ้าแต่ใส่ความว่าผมฆ่าอาของตัวเอง 

            กาวยังเด็กเกินไปกับการรับรู้สถานการณ์ตรงนั้น และอาจเป็นหนักกว่าเดิม เมื่อได้รับรู้ความจริงอะไรบางอย่าง ผมได้แต่รอคอยเวลา ที่กาวเป็นผู้ใหญ่มากพอ เพื่อบอกความจริงบางอย่างให้เขาฟัง

            “ถ้ากาวรู้ว่าใครฆ่าอาม่าน กาวจะฆ่ามัน”กาวเคยพูด

            “อ้าว...ไหนกาวบอกว่า อาไง...ที่เป็นคนทำ”ผมถามอย่างแปลกใจ เจ้าตัวเหมือนจะแน่ใจว่าเป็นผม แต่บางทีก็ไม่แน่ใจ เพราะตัวเองไม่รู้ความจริง และตำรวจก็ยังสรุปว่าม่านฆ่าตัวตาย

            “กาวก็จะฆ่าอาเสือ”

            “หึหึ มือกาวยังเล็ก จะจับปืนไหวรึเปล่ายังไม่รู้”ผมบอก นึกขำ...แต่อีกคนกลับชักสีหน้า ไม่ชอบให้คนอื่นมาว่า ว่าทำไม่ได้...และไม่ชอบคนท้าทาย 

            “ไหว ถ้าโตขึ้นอีกหน่อย มือก็จะใหญ่ขึ้น!!”กาวพูด น้ำเสียงแค้นเคือง

            “มือกาวสวย อาจะไม่ยอมให้กาวจับปืนเด็ดขาด”ผมบอก เด็กเก่งขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน น่าหยิกเป็นที่สุด

            เด็กที่ขี้กลัว ขี้ขลาดสุด ๆ อย่างกาว ต้องมาเป็นแบบนี้ ผมสัญญาว่าจะดูแลกาวให้ดีที่สุด แต่ดูเหมือนนับวัน กาวจะพูดไม่ฟังขึ้นเรื่อย ๆ 

            อยากให้ผมอยู่ด้วยตลอดเวลา

            อยากให้ผมนอนกอดทุกคืน
            อยากให้ผมพาไปเดินห้าง ไปเที่ยวเล่นตามประสาแก

            ด้วยงานและอายุของผม คงจะเลยวัยที่จะทำอะไรแบบนั้นแล้ว เจ้าตัวจึงมักไม่พอใจทุกครั้ง ที่ผมไม่กลับบ้าน หรือกลับบ้านไม่ตรงเวลา ทั้ง ๆ ที่เจ้าตัวก็รู้ว่าผมไปทำงาน ก็ขอให้ได้แขวะ...ทำให้ผมโมโหสักหน่อย ก็ต้องยอมรับ...ว่ามันก็มีบางที ที่ผมโมโหและโกรธทุกครั้ง กาวพูดอะไรไม่เคยฟัง ถ้าบอกว่าห้ามหรืออย่า ก็ชอบท้าทายลองดีให้ผมทำโทษเขา 

            “ถ้ากาวไม่สบาย อาเสือจะได้อยู่กับกาว”ผมเคยได้ยินตอนกาวพูดกับสุดา เด็กน้อยยังไงก็ยังเป็นเด็กน้อยสำหรับผมอยู่วันยังค่ำ อยากให้ผมสนใจด้วยวิธีแปลก ๆ ของเขา 

            เสียใจ...ที่กาวโตมา แบบไม่มีผู้ชี้นำที่ดี ผมอาจบกพร่องตรงนี้มากเกินไป ที่ผ่านมาทุ่มทำงานหนัก เพื่อที่จะทำให้เค้าอยู่สบาย แต่นานวันไป...ผมก็เริ่มรู้ว่า ที่ผมทำ...เพราะตัวเองเดินหมากผิดไปตั้งแต่แรก เสียใจ...ที่ทำให้กาวเสียใจ
            




            “อืออออ”เสียงแหบในลำคอของคนไข้ดังขึ้นพร้อมเสียงไอ ตอนผมเดินถึงหน้าประตูแล้ว ตัวเองลงไปจัดการเอกสารกองโต ที่ให้คนหอบมาจากสำนักงานให้ ดูเหมือนคนไข้ของสุดาจะมีปัญหาไม่หยุดหย่อน แม้กระทั่งตอนตัวเองพูดไม่ได้ก็ตาม 

            “โธ่ ทานหน่อยสิคะ เดี๋ยวคุณท่านขึ้นมาจะโดนดุอีก”

            “อือออ!!!”คนไข้ปฏิเสธเสียงแข็ง งานหนักกันอีกแล้ว 

            “คนไข้ดื้ออีกแล้วเหรอสุดา”ผมถามเสียงดัง ก่อนจะเดินเข้าไปยืนกลางห้อง น้ำตาชุ่มฉ่ำที่สองตาของกาวกระพริบตายังดูเหนื่อยล้า เจ้าตัวไม่ได้ร้องไห้แต่เพราะพิษไข้ที่ขับออกมาเป็นน้ำ เป็นขนาดนี้ยังคิดต่อต้าน

            “ค่ะ”สุดาถอยไปยืนข้างหลังพร้อมถ้วยข้าวต้ม ผมเดินลงไปนั่งข้าง ๆ เตียง เอามือวัดไข้ที่หน้าผาก

            “ไปนอนโรงพยาบาลดีไหม อยู่ใกล้ ๆ หมอ”

            “หึ!”คนดื้อออกเสียงได้แค่นั้น นี่คงจะเจ็บคอด้วย เพราะกาวไข้ขึ้นทีไร ชอบพ่วงด้วยอาการไวรัสลงคอมาทุกที ผมน่ะระวังให้เขาเสมอ ทั้งเรื่องอาหารการกินและความสะอาดทุกอย่าง แต่เจ้าตัวกลับไม่เคยคิดจะใส่ใจดูแลตัวเอง

            “เอามานี่ อาจะป้อนเอง”ผมบอก สุดาส่งถ้วยข้าวต้มมาให้ ทำมาให้แบบเละที่สุดแล้ว ถ้วยเล็ก ๆ นี่เอง

            “อือออ”ก็ยังไม่ยอม...

            “โอเค ๆ ทุกคนออกไป...”ผมบอกอย่างรู้ใจ ยืนจ้องด้วยสายตานับสิบแบบนี้ คนป่วยไม่ยอมกินแน่ ๆ 

            “เอ่อ โชติให้คนมาเอาเอกสารบนโต๊ะออกไปได้เลยนะ”

            “ครับ”ลูกน้องคู่ใจรับคำ ก่อนพากันเดินออกไป ผมรอให้แม่บ้านคนสุดท้ายปิดประตู เหลือเพียงแต่เราตามลำพัง เด็กดื้อจ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง เหมือนทุกครั้ง ๆ ที่ผมหายไปโดยไม่บอก ภายใต้ท่าทีที่น่ากวนโมโห กาวก็แค่อยากให้ผมใส่ใจแกบ้าง เพียงเท่านั้น...

            “เอาละ...ไหนดูสิ คนป่วยจนเปื่อยแบบนี้ ทำไมไม่ยอมกินข้าวสักที”ผมบอก ตักคำน้อย ๆ ให้ กาวหน้างอและยังไม่ยอมอ้าปาก 

            “อาลงไปแค่ข้างล่าง ให้คนเอาเอกสารมาให้”ก็ยังไม่ยอมอยู่ดี ดื้อเพราะรู้ว่าสุดท้ายผมต้องเอาใจ ไม่ใช่ว่าป่วยแล้วจะทำให้หรอก ปกติผมก็เอาใจแกในแบบของผมอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวชอบตั้งแง่ใส่ผมอยู่เรื่อย 

            “เมื่อไหร่จะหายนะ อาไม่ชอบ...ไม่ได้ยินเสียงกาว”ผมบอก คนป่วยเอามืออีกข้างของผมไปซุกตรงซอกคอ 

            “กินหน่อย อาไม่เบื่อที่จะป้อน แต่ข้าวต้มมันจะหายร้อน...”บอกพร้อมเอามือออก จับช้อนและค่อย ๆ ยื่นช้อนไปจ่อปากสีสด ถึงจะยอมกิน

            “ปวดคอใช่ไหม”ผมถาม สังเกตทุกครั้งที่กลืน กาวจะทำหน้าไม่ค่อยดี เจ้าตัวพยักหน้า

            “เดี๋ยวให้โชติเอารถออก หน้ากาวดูไม่ไหวแล้ว”คนไข้ส่ายหน้า ผมป้อนช้าลง

            “ไปแล้วกลับไม่ต้องนอนโรงพยาบาลก็ได้ อาหยุดเพื่อดูแลกาวแล้วไง ไม่ให้คนอื่นดูแลหรอก”ผมบอก กาวพยักหน้า เอามือมาแตะถ้วยข้าวต้ม เชิงว่าจะไม่กินแล้ว

            “เพิ่งกินไปสามสี่คำ อีกสักหน่อยดีไหม”คนไข้ส่ายหน้า ผมไม่ขัดใจ วางถ้วยลงแล้วเอาน้ำอุ่น ๆ ให้ดื่ม 

            “ไหนอ้าปากให้อาดูหน่อย”ลิ้นขาวเพราะดื่มน้ำน้อย มองในคอก็แดงจัด เจ้าตัวไม่กล้าไอแรง ๆ เพราะเจ็บสุด ๆ แล้ว

            “ไปหาหมอ อาก็จะไปด้วย”

            “อือ”

            “ตกลงไปนะ สุดาเช็ดตัวให้หรือยัง?”ผมถามต่อ คนดื้อพยักหน้า 

            “งั้นนอนลง อาจะให้คนมาเก็บถ้วย แล้วไปเปลี่ยนชุด”กาวส่ายหน้า ทำให้ผมอมยิ้ม เดาใจยากไหม...พนันได้เลย ถ้าผมเดินออกไป เจ้าตัวไม่พอใจแน่ ๆ 

            “ทำยังไงดี กาวหลับ...แล้วอาค่อยออกไปเหรอ?”ผมถาม คนป่วยพยักหน้าขึ้นลง หึหึ...ผมเดินไปกดจูบที่กลางกระหม่อม 

            “งั้นอาจะสำรวจห้องเด็กดื้อ ว่าซ่อนอะไรอันตรายไว้รึเปล่า ถ้าอาทำเสียงอะไรก๊อกแก๊ก อย่ามาว่าอานะ”ผมบอก กาวพยักหน้า 

            ห้องของเด็กดื้อเป็นระเบียบขนาดนี้ เจ้าตัวยังมิวาย เอาของพวกประทัด งูปลอม จิ้งจกปลอมมาซ่อนไว้ แกล้งพวกแม่บ้านคืองานสนุกเขาละ ความสะอาดของห้องนี้ต้องมาอันดับหนึ่ง เพราะกาวชอบอยู่แต่ในห้องของตัวเอง ของก็ชอบวางเกลื่อน โยนเข้ามุมนั้นทีมุมนี้ที ที่นี่จึงต้องมีแม่บ้านมาทำความสะอาดทุกวันเช้าเย็น ผมปล่อยให้กาวอาละอาดและซนได้เต็มที่ เพราะคิดว่านั่นคือการแสดงออกของเด็กน้อย ที่ดีกว่าให้กาวไม่พูดหรือทำหน้าซึม มีสองสามอย่างที่ผมห้ามเด็ดขาดสำหรับกาว เพราะเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบมาก ๆ คือกาวชอบเดินไปสาละวนในกรงงู ตอนมันเล็ก ๆ ผมอนุญาตให้เข้าได้ แต่นี่ไอ้ตาลมันตัวใหญ่จนเขมือบกาวได้ทั้งตัวแล้ว ผมต้องห้ามเข้าไป เด็ดขาด แม้ว่าคนดื้อจะมีข้อถกเถียงว่า สมหมายเอาไก่ให้มันอิ่มแล้วก็ตาม ก็ยังไงผมก็ห้ามอยู่ดี เลี้ยงงูเลี้ยงเสือยังไงก็ไว้ใจไม่ได้ 

            ห้ามอย่างที่สอง คือห้ามกาวเข้าใกล้กรงสุนัข เด็กนิสัยไม่ดีคนนี้เคยเอาไม้ไปแหย่ทำให้พวกไอ้ดำ สุนัขพันธ์ลอตไวเลอร์โกรธ แถมยังเคยเอาประทัดไปหาเจ้าพวกนั้น หมามันก็จำ...กาวเดินผ่านที่ไร เป็นได้เห่าแข่งกันทุกที (พวกไอ้ดำเห่า กาวก็จะล้อเลียนเห่าตามทุกครั้งไป) กลัวพวกมันจะตะกรุยกรงพัง แล้วกาวได้รับอันตราย

            ส่วนข้อห้ามสุดท้าย ผมไม่ชอบที่สุด ไม่ชอบให้คนอื่นแตะตัวกาว ตัวเล็ก ผิวบาง จับนิดหน่อยก็เป็นรอย ผมไม่ชอบรอยแดงพวกนั้น แต่ทั้งที่ไม่ชอบ...ตัวเองก็เผลอทำให้หลานเจ็บตัวซะบ่อยครั้ง ผมก็มีข้อแก้ตัวเหมือนกันว่า หลานผม...ผมทำได้คนเดียว

            ผมตรวจดูห้องจนพอใจ หันไปเจ้าเด็กดื้อยังนอนตาแป๋ว ไม่ยอมหลับตาเพราะกลัวผมเดินออกนอกห้อง หันไปหัวเราะเบา ๆ ให้คนป่วย ก่อนจะเดินไปตรวจดูชั้นวางหนังสือ 

            “โชติบอกว่าวันนั้นกาวไปกินสุกี้กับเพื่อน”ผมหันไปถาม กาวพยักหน้า

            “มีเพื่อนหลายคนที่อาไม่รู้จัก...”ผมพูดเรื่อย ๆ ที่รู้จักก็มีแต่บอล กอล์ฟ แยมโรล เพราะเคยเห็นกันมาก่อน ส่วนคนอื่น ๆ เพิ่งเคยได้ยินชื่อจากช่วงโชติ กาวพยักหน้าอีกที รอฟังผมอย่างตั้งใจ

            “คบเพื่อนก็ดูดี ๆ รู้ใช่ไหม”หันไปหาเด็กดื้อ มือกำที่นอนแน่น อะไรที่เป็นเรื่องที่เขาตัดสินใจ กาวจะไม่ชอบให้ผมไปยุ่ง แม้ว่าผมจะแค่เตือนก็ตาม 

            “.................................”ผมเงียบลง หยิบหนังสือเรียนขึ้นมาตรวจดู ยังใหม่อยู่เลย เปิดอ่านบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ ชีทงานวางกองเต็มหน้าคอมพิวเตอร์ ผมเคยจัดการส่วนนี้ให้วางเป็นระเบียน แต่โดนอาละวาดไปหลายวันทีเดียว คราวนี้เลยไม่แม้แต่จะแตะ

            “กาว...”หันไปอีกที กาวหลับตาไปแล้ว เลยลองเรียกดู

            “อือ”กาวพยายามลืมตาขึ้นมา ผมเดินไปหยิบยา เพราะต้องกินหลังอาหารครึ่งชั่วโมง ยัดใส่ปากคนป่วย ก่อนจะให้กินน้ำตาม

            “หลับซะ...”ผมบอก นั่งตบหลังมือจนแน่ใจว่ากาวหลับสนิทแน่แล้ว จึงเดินออกมา ให้สุดาเข้าไปเก็บถ้วย และบอกช่วงโชติให้เตรียมรถ ส่วนตัวเองก็ขึ้นไปอาบน้ำ รอคนไข้ตื่นจะได้ไปโรงพยาบาล
 

            จะเรียกว่าสลบได้รึเปล่า เพราะกาวไม่ฟื้นขึ้นมาอีกเลยตั้งแต่เมื่อเช้า หมอให้ยานอนหลับผสมน้ำเกลือเข้าไป คนไข้หลับเป็นตาย โดยมีผมและกองเอกสารกองโตในห้องพักฟื้นคนไข้ 

            “นายครับ”ช่วงโชติเรียก ผมเงยหน้ามอง ก่อนจะรับเอกสารจากมือมา แฟ้มนั้นบอกถึงการถ่ายเทหุ้นบริษัทให้คน ๆ หนึ่ง รวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวเรียบร้อย ในจำนวนที่เท่า ๆ กันกับผม โอกาสต่อรองไม่มากพอ...เด็กดื้อยังไม่ยอมเซ็นให้ เพียงแต่จรดปากกา...ฝั่งนั้นก็ทำอะไรไม่ได้

            ผมมองดูคนบนเตียงแล้วพยายามคิดตัดสินใจ ผมทำทุกอย่างเพื่อให้สินทรัพย์ของกาวเป็นของผม ไม่อยากให้เขาต้องมาเจอเรื่องพวกนี้ แต่สิ่งที่เจ้าตัวกลัวก็คือ...ถ้าผมเอาไปหมดแล้ว อีกหน่อยผมก็จะทิ้งเขาด้วย บอกแล้วกาวแสนดื้อของผมคนนี้ คิดซับซ้อนไม่เป็น

            รักแสนรักขนาดนี้...จะทิ้งลงได้ยังไงนะ กาว....

            “พวกนั้นกำลังหาตัวคุณกาว ถ้าเป็นไปได้ผมว่า เราปลอมเอกสารแล้วจัดการทุกอย่างเลยดีกว่าครับ”ช่วงโชติให้คำแนะนำ ผมส่ายหน้า ในสายตากาว...ผมเลวไปแล้วครึ่งนึง แต่อีกฝ่ายกาวกลับชื่นชมและมองเขาเป็นฮีโร่มาตลอด ถ้าผมทำอย่างนั้นกาวอาจจะหันไปเทิดทูนพวกมันมากขึ้นก็เป็นได้

            “นิ่งไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำอะไร เดี๋ยวฉันจะคุยกับกาวเอง”ผมบอก ส่งแฟ้มนั้นกลับ บอกอะไรไปโดยไม่มีหลักฐานหรือเหตุผลรองรับมากพอ กาวไม่เคยฟังสักที เดี๋ยวก็หาว่าผมใส่ความพี่ชายตัวเองบ้าง (ลูกพี่ลูกน้อง) บริษัทนี้ไม่ใช่ของผมมาตั้งแต่ต้น ผมรู้...แต่ผมจะใช้ความสามารถทั้งหมดที่มี ปกป้องมันไว้ให้กาว 

            “แต่ว่า ถ้าช้าไป...ผมกลัวว่าคุณประพตจะเล่นไม่ซื่อ”

            “พวกมันก็ไม่ซื่อมาตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่เหรอ ช่วงโชติ”ผมกัดกรามแน่น 
            “ผมจะให้คนดูไว้แล้วกันนะครับ ยังไงก็คิดว่าพวกคุณประพตยังไม่กล้าทำอะไรแน่ ๆ ในเมื่อทุกอย่างมันออกมาในรูปแบบนี้”ช่วงโชติพูด ผมพยักหน้า ตลกดีไหม...บริษัทเดียวกัน ยิ้มให้กันเมื่อเจอหน้า ลับหลังกลับตลบตะแลง คอยแทงกันอยู่ เหมือนที่กาวบอก...ไม่ชอบใส่หน้ากาก ผมยอมเพราะใส่มาแล้ว มันถอดออกไม่ได้

            นั่งทำงานอยู่ในห้องจนกระทั่งผล็อยหลับคากองเอกสาร ความเงียบและกลิ่นรพ.ทำให้รู้สึกเหนื่อยล้า เป็นไปได้ถ้ากาวตื่น ผมอยากให้หลานไปนอนที่บ้านมากกว่า
 



            ตื่นมาอีกทีคนป่วยนอนมองผมตาแป๋ว ไม่ยอมส่งเสียง...คงเพราะยังเจ็บคออยู่แน่ ๆ ผมกวาดสายตาดูภายในห้อง เสียงสุดากับแม่บ้านที่พามาด้วย กำลังดูอาหารในห้องเล็ก ๆ ส่วนช่วงโชติหลับอยู่โซฟาริมห้อง ผมยืดตัวตรงบิดขี้เกียจสองสามที แล้วเดินเข้าไปหา

            “ตื่นนานแล้ว ทำไมไม่เรียกอา”ถามพร้อมจับหน้าผากวัดไข้ ตัวเริ่มอุ่น ๆ ลงบ้างแล้ว

            “.......................”กาวส่ายหน้าน้อย ๆ ดวงตายังดูฉ่ำเพราะพิษไข้

            “อาเรียกหมอเข้ามาดูอาการก่อน”

            “นะ น้ำ...”เสียงแหบร้องขอน้ำ ผมเดินไปหยิบน้ำรินใส่แก้ว แล้วแกะหลอดให้ดูด เด็กดื้อดูดใหญ่...คงเพราะกระหายมาก

            “โชติ...ช่วงโชติ”ผมเรียกเสียงหนัก ๆ ช่วงโชติลืมตาขึ้นมาก่อนจะขยี้ตา แล้วเดินเข้ามาหา

            “ฟื้นแล้วหรือครับ”

            “อือ เดี๋ยวให้หมอมาตรวจกาวหน่อย”

            “ครับ”รับคำแล้วออกไปเลย นางพยาบาลเข้ามาพร้อมกับสุดา

            “อ้าว...คนไข้ตื่นแล้วเหรอคะ ทานอาหารก่อนนะคะ เดี๋ยวคุณหมอจะเข้ามาดูอีกทีค่ะ”ผมยิ้ม มองดูอาหารตรงหน้า ให้สุดาจัดมาจากบ้าน เพราะกาวไม่ทานอาหารโรงพยาบาลอย่างเด็ดขาด

            “ตอนนี้ขอวัดไข้ก่อนนะคะ”คุณพยาบาลสาวสวยพูด เดินมายืนข้างผม แล้วยิ้มให้คนไข้ที่หน้าบึ้งเล็กน้อย ผมช่วยใส่เครื่องวัดความดัน และอีกมือก็จับไหล่กาวไว้ 

            “เดี๋ยวก็หายแล้วนะคะ ไม่เป็นอะไรมาก”ปากสวยพูดพร่ำปลอบประโลมคนไข้ ตามที่ได้รับการศึกษามา ผมและสุดายิ้มน้อย ๆ เพื่อให้บรรยากาศห้องผ่อนคลาย

            ติ๊ด ๆ ๆ เครื่องทำงานเสร็จสิ้น

            “โอเคค่ะ ปกติเรียบร้อยดีนะคะ เชิญทานอาหารได้ตามสบายค่ะ”เธอบอกก่อนจะเก็บอุปกรณ์ออกไป ผมช่วยสุดาเลื่อนถาดอาหารมาวางตรงหน้า แล้วปรับเบาะคนป่วยให้ลุกขึ้น

            “ไม่...หิว”เสียงแหบพูด 

            “กินหน่อย ไม่หิวก็ทนฝืนไปสักสองสามคำ”ผมบอก ส่งสัญญาณให้สุดาและช่วงโชติออกไปข้างนอก ไม่สบายอยู่ ใช้ไม้แข็งบังคับไม่ได้...เดี๋ยวจะพาลปวดหัวหนักกว่าเดิม

            “กินเสร็จ รอหมอตรวจแล้วอาจะพากลับบ้านนะ”ผมบอก นั่งลงค่อย ๆ ป้อน กาวพยักหน้า

            “ปวด”เจ้าตัวจับที่คอ

            “เจ็บอีกแล้วเหรอ?”ผมถาม กาวพยักหน้า

            “งั้นกินน้ำซุปอุ่น ๆ นี่สักหน่อย สุดา...สุดา!!!!”ผมร้องเรียกสุดา ซึ่งวิ่งเข้ามา

            “คะ....”

            “ได้เอาผ้าพันคอมารึเปล่า”

            “เอามาค่ะ”

            “เอามาให้กาวใส่หน่อย”ผมบอก เด็กดื้อจะได้อุ่น ๆ คนป่วยบ่นปวดคอกินไม่ไหวอีกสองสามคำ ผมเลยต้องปล่อยเขานอนลงตามเดิม น้ำเกลือใกล้จะหมดขวดแล้ว คุณหมอเข้ามาตรวจหลังจากนั้น แต่ดูเหมือนว่าอาการของกาวจะยังไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่

            คำตอบของหมอก็ทำให้ต้องนอนที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งวัน ดูเหมือนคนป่วยจะเริ่มหน้ามุ่ยลงไปทุกที ยิ่งจะแย่กว่าเดิม ตรงที่ช่วงโชติเดินเข้ามาบอกว่า ผมมีประชุมคืนนี้ จะไม่ไปก็ไม่ได้...

            “นายครับ”ช่วงโชติเรียก ผมนั่งจ้องหน้าอยู่กับกาว

            “สองทุ่มนะครับนาย”

            “อือ”ผมรับคำ คนป่วยพูดไม่ได้...ไม่งั้นคงได้โวยวายเหมือนที่เคยทำ ตอนนี้จับมือผมไว้แน่น ไม่ยอมนอนสักที 

            “ออกไปข้างนอกก่อนไป”หันไปบอกลูกน้องตัวเอง ให้คนเอาของใช้ของสุดามาไว้ให้แล้ว เดี๋ยววินัยก็คงจะเดินทางมาดูกาวที่นี่ ส่วนช่วงโชติต้องไปกับผม คืนนี้ไม่ได้อยู่เฝ้าคนป่วย แต่ทำใจไว้แล้วว่าจะต้องโดนอาละวาด

            ผมหันมาดูเด็กดื้อ ดึงผ้าพันคอให้กระชับอีกนิด ปาก จมูก หู ตา แดงหมด...ยังไออยู่เป็นระยะ ๆ และหายใจฟึดฟัด เหมือนมีน้ำมูกตลอดเวลา หยิบโทรศัพท์มาใส่มือกาว เพราะเจ้าตัวชอบฟังเพลงอะไรของเขาก็ไม่รู้ ผมฟังไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ 

            “กาวนอนฟังเพลง ไม่ทันวนจบ...อาก็กลับแล้ว”บอกคนดื้อ แต่กาวกำมือถือแน่น จับผมไม่ปล่อย

            “เดี๋ยวอาจะให้อาวินัย มาอยู่เป็นเพื่อน สุดากับแจ่มก็จะมานอนเฝ้า อาไปแป๊ปเดียว...สัญญาว่าจะกลับมา”บอกไปแล้ว แต่คนป่วยไม่ยอมท่าเดียว ปลอบกันอยู่นาน...ก็ไม่ยอม สุดท้ายต้องเรียกช่วงโชติเข้ามา และวินัยก็มาถึงพอดี

            “อืออออออ”เสียงแหบสุด ๆ และไม่ยอมปล่อยแขนเสื้อผม 

            “งั้นนอนลง...อาจะไม่ไปจนกว่ากาวจะนอน”

            “ไม่!!!! อาเสือจะหนี!!!!”เริ่มดื้อขึ้นแล้ว สุดท้ายผมต้องใช้ไม้แข็ง แกะมือกาวออก...แล้วพยักหน้าให้ช่วงโชติ

            “อาไปแปปเดียว”ผมหันมาบอกหลาน กาวร้องไห้กำโทรศัพท์แน่น สุดท้ายก็...ขว้างมันเข้ากับกำแพง เสียงดังเพล้ง!!!!! หน้าจอแตกเรียบร้อย....

            ทุกคนยืนยิ่ง รวมทั้งผมด้วย เริ่มโมโห...เพราะกาวพูดไม่ค่อยฟัง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำลายข้าวของ 

            “ไม่ให้ไป...”คนดื้อพูด

            “กาว!

            “อืออออ”แววตาเศร้าลงแบบนั้น ทำให้ต้องเบือนหน้าหนี

            “ฝากด้วยนะ”ผมหันไปบอกวินัย แจ่มและสุดา  

            “อะ อาเสือออ”เสียงร้องไห้ของดังดื้อดังมาถึงหน้าประตูห้อง ร้องแบบนั้นถ้ากลับมาปวดคออีกจะจับตีก้นเสียให้เข็ด ถึงจะห่วงแต่ต้องใจแข็งเดินออกมา








COMMENT PLEASE



ขอบคุณที่อ่านและคอมเม้นค่ะ ^^



3 ความคิดเห็น:

  1. อาเสือขี้หวง คนอื่นห้ามแตะกาว. แต่อาเสือทำกาวเจ็บได้คนเดียว อ้างว่าเพราะเป็นหลาน แหมมม แต่แบบนี้มันหวงซะยิ่งกว่าหลานในไส้อีกนะคะอาเสือ. หนูกาวป่วยขี้อ้อน อาเสือใจร้ายทิ้งหนูกาวนอนป่วย ตะโกนเรียกเจ็บคอไปมากกว่าเดิมจะทำไง

    ตอบลบ
  2. อ๊ายยยยย น่ารักมากคะ น้องกาวดื้อจนวินาทีสุดท้ายจิงๆๆ

    ตอบลบ
  3. ฮืออออ น้องกาวเด็กดื้อ
    อาเสือบแกความจริงกับกาวเรื่องก็จบแล้ว
    ทะเลาะกันไปมา สุดท้ายเจ็บทั้งคู่

    ตอบลบ